Skip to content
5 Surprising Ways to Transform Your Work-Life Rhythm with the PERMA Model
นัลลูรี่1 min read

สร้างความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวด้วยโมเดล PERMA

เป็นช่วงท้ายของวันทำงานอันยาวนาน แทนที่คุณจะรู้สึกประสบความสำเร็จ คุณกลับรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก คุณพยายามผ่อนคลาย แต่จิตใจยังคงวุ่นวายกับความคิดเกี่ยวกับงานที่ยังไม่เสร็จ กำหนดส่งงานที่ใกล้เข้ามา และรายการสิ่งที่ต้องทำที่ไม่มีวันจบสิ้นที่รอคุณอยู่ในวันพรุ่งนี้ ฟังดูคุ้นๆไหม?

ในโลกที่แสนเร่งรีบในปัจจุบัน พวกเราหลายคนต้องพยายามจัดการระหว่างงาน ครอบครัว สุขภาพ และชีวิตทางสังคมอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเราจะพยายามที่สุดเพื่อสร้างความสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว แต่เรามักรู้สึกว่ามีสิ่งที่ต้องทำมากมายจนทำอะไรไม่ถูกและเหนื่อยล้า

แต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ? แทนที่จะตั้งเป้าไปที่อุดมคติที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ลองจินตนาการถึงการสร้างชีวิตที่รู้สึกสมบูรณ์ มีความสุข และเติมเต็ม นี่คือจุดที่โมเดล PERMA ซึ่งพัฒนาโดยนักจิตวิทยาชื่อดัง Martin Seligman ได้เสนอมุมมองใหม่ให้กับเรา แทนที่จะไล่ตามความฝันที่เป็นไปไม่ได้ในการแบ่งเวลาระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวแบบ 50-50 โมเดล PERMA ชวนให้เรามองชีวิตผ่านเลนส์ที่แตกต่างออกไป โดยมุ่งเน้นไปที่ความเป็นอยู่ที่ดี ความสมบูรณ์ และความลงตัว

แล้วโมเดล PERMA แห่งความเป็นอยู่ที่ดี คืออะไรกันแน่ และมันจะช่วยให้คุณไปถึงความลงตัวที่คุณกำลังมองหาได้อย่างไร? อ่านต่อไปเพื่อเรียนรู้เลย!

 

ความแตกต่างระหว่างความสมดุลของชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัว กับความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวคืออะไร?

ก่อนที่เราจะเจาะลึกถึงวิธีการนำโมเดล PERMA ไปใช้ในที่ทำงาน มาเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างความสมดุลของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว กับความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวกันก่อน แม้ว่าแนวคิดจะค่อนข้างคล้ายกัน แต่มีองค์ประกอบสำคัญที่แตกต่างกัน:

 

ความสมดุลของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว

สำหรับหลายคน ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวเป็นความฝันที่เราต้องการมานาน เป็นวิธีแบ่งเวลาและพลังงานระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวเพื่อให้รู้สึกมีจุดศูนย์กลางและมีประสิทธิภาพ แนวคิดนี้เสนอว่าการจัดการทั้งสองด้านของชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน เราสามารถป้องกันอาการหมดไฟและรักษาความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมได้ ลักษณะทั่วไปของความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ได้แก่

  • การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน: ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวส่งเสริมให้ขีดเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างเวลาทำงานและเวลาส่วนตัว ซึ่งอาจหมายถึงการกำหนดชั่วโมงทำงานที่เฉพาะเจาะจง และตั้งใจที่จะปิดเครื่องเพื่อโฟกัสกับครอบครัว งานอดิเรก หรือการพักผ่อน
  • การจัดตารางเวลาที่มีโครงสร้างชัดเจน: แนวคิดเรื่องความสมดุลมักเกี่ยวข้องกับการสร้างตารางเวลาที่งานและชีวิตส่วนตัวได้รับความสนใจเท่าเทียมกัน ตัวอย่างเช่น คุณอาจทุ่มเทเวลา 9.00 - 17.00 น. ให้กับงานของคุณ และใช้เวลาตอนเย็นและวันหยุดสุดสัปดาห์สำหรับกิจกรรมส่วนตัว
  • การให้ความสำคัญกับการจัดการเวลา: การมีสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวมักเน้นที่การจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าทั้งงานและชีวิตส่วนตัวไม่ทำให้อีกด้านหนึ่งหนักเกินไป มันเป็นเรื่องของการวางแผนวันหรือสัปดาห์ของคุณเพื่อให้เวลาเพียงพอกับทั้งสองด้านโดยไม่ให้ด้านใดด้านหนึ่งนำอีกด้าน

 

อย่างไรก็ตาม การมีความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่สมบูรณ์แบบบางครั้งอาจดูเคร่งครัดหรือไม่เป็นจริง เนื่องจาก

  • ชีวิตไม่สามารถคาดเดาได้: ไม่ว่าจะเป็นโครงการเร่งด่วนในที่ทำงานหรือเหตุฉุกเฉินในครอบครัว บางครั้งเส้นแบ่งระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวก็ไม่ชัดเจน ทำให้ยากที่จะรักษาการแบ่งเวลาอย่างจริงจัง
  • แรงกดดันในการสร้างความสมบูรณ์แบบ: การพยายามแบ่งเวลาระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวแบบ 50-50 ที่สมบูรณ์แบบอาจนำไปสู่ความรู้สึกเครียดหรือรู้สึกผิดเมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามแผน แรงกดดันนี้อาจทำให้เรารู้สึกว่าเราล้มเหลวอยู่ตลอดเวลา
  • ความไม่สมดุลเป็นเรื่องธรรมชาติ: บางช่วงของชีวิตก็มีความต้องการจากด้านใดด้านหนึ่งมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอาชีพหรือเหตุการณ์สำคัญส่วนตัว การคาดหวังความสมดุลตลอดเวลาอาจทำให้รู้สึกถูกจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อด้านใดด้านหนึ่งต้องการความสนใจมากกว่า

 

 

ความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว

นี่คือจุดที่ความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวเข้ามามีบทบาท โดยเป็นวิธีการที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนมากขึ้น แทนที่จะโฟกัสที่การแบ่งระหว่างงานและชีวิตให้เท่ากัน ความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวเป็นการทำให้แน่ใจว่าส่วนต่าง ๆ ของชีวิตคุณส่งเสริมซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องของการสร้างความรู้สึกต่อเนื่องที่งานและชีวิตส่วนตัวไม่ได้ต่อต้านกันตลอดเวลา แต่ทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมของคุณ ตัวอย่างของลักษณะของความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ได้แก่:

  • การยืดหยุ่นเพื่อปรับตัว: แทนที่จะพยายามใช้เวลาเท่ากันในทั้งสองด้าน ความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวจะปล่อยให้แต่ละด้านมีความมากน้อยตามธรรมชาติ ในบางวัน งานอาจต้องการความสนใจมากกว่า ในขณะที่วันอื่น ๆ ภาระส่วนตัวอาจมีความสำคัญมากกว่า กุญแจสำคัญคือการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้โดยไม่รู้สึกผิดหรือเครียด
  • การนำทั้งสองหน้าที่มาผสมผสานกัน: ในความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว เส้นแบ่งระหว่างงานและชีวิตไม่ได้แข็งทื่อ แต่เราต่างเข้าใจว่าบทบาทส่วนตัวและวิชาชีพมักจะผสมผสานกัน ตัวอย่างเช่น การค้นหาเป้าหมายในงานของคุณสามารถทำให้ชีวิตส่วนตัวของคุณสมบูรณ์ขึ้น และการดูแลความเป็นอยู่ที่ดีนอกเหนือจากการทำงานสามารถเพ่มประสิทธิภาพและความพึงพอใจของคุณได้
  • ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม: ความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวเป็นเรื่องของการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีและความสมบูรณ์ทั้งในด้านการทำงานและชีวิตส่วนตัว ไม่ใช่การแบ่งเวลาโดยสมบูรณ์ แต่เป็นการสร้างชีวิตที่ทั้งสองด้านมีส่วนร่วมเชิงบวกต่อความสุขและเป้าหมายของคุณ

 

แม้ว่าความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวนั้นจะยังคงมีความสำคัญ แต่ความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวนั้นให้ตัวเลือกที่สามารถปรับเปลี่ยนได้มากกว่าในการจัดการกับความต้องการของชีวิตสมัยใหม่ ความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวมองเห็นว่าชีวิตของคุณไม่ได้ถูกแบ่งออกเป็นกล่องแข็งๆ ของ "งาน" และ "ชีวิต" แต่ส่งเสริมให้คุณหาวิธีผสมผสานทั้งสองด้าน ทำให้มีพื้นที่สำหรับทั้งสองด้านโดยไม่รู้สึกว่าด้านหนึ่งต้องลำบากเพื่อแลกกับอีกด้านหนึ่ง หมายความว่าคุณจะรู้สึกสมดุลมากขึ้นโดยรวม แม้ว่าแต่ละวันอาจแตกต่างกันเล็กน้อย!

เมื่อคุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างความสมดุลของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว กับความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวแล้ว มาเจาะลึกเรื่องโมเดล PERMA กันเถอะ

 

โมเดล PERMA ของความเป็นอยู่ที่ดีคืออะไร?

โมเดล PERMA ที่พัฒนาโดย Martin Seligman เป็นกรอบแนวคิดที่ครอบคลุมสำหรับการได้มาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีและความรุ่งเรือง PERMA ย่อมาจาก Positive emotion (อารมณ์เชิงบวก), Engagement (ความผูกพัน), Relationships (ความสัมพันธ์), Meaning (ความหมาย), และ Accomplishment (ความสำเร็จ) - ห้าเสาหลักที่เมื่อได้รับการพัฒนาแล้วจะมีส่วนช่วยให้ชีวิตรู้สึกเติมเต็มและมีความหมาย โมเดล PERMA เน้นถึงความสำคัญของการรู้สึกถึงความสุข การมีทุ่มเทเต็มที่ในการทำงาน การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรง การค้นหาจุดมุ่งหมาย และการบรรลุเป้าหมาย แม้มันว่าจะถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจในตอนแรก แต่โมเดล PERMA ของ Seligman ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อส่งเสริมความพึงพอใจและประสิทธิภาพที่มากขึ้น

 

ทำไมโมเดล PERMA จึงสำคัญสำหรับความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว?

เมื่อเราคิดถึงความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว เรามักจะสนใจที่ปัจจัยภายนอกเท่านั้น คือ การจัดการตารางเวลา การทำงานให้ทันกำหนดส่ง และการจัดสรรเวลาสำหรับภาระส่วนตัว อย่างไรก็ตาม รากฐานที่แท้จริงของความลงตัวไม่ได้มาจากการจัดการงานต่าง ๆ แต่มาจากภายใน ความรู้สึกต่อความเป็นอยู่ที่ดีและความสุขของคุณมีบทบาทสำคัญในการกำหนดวิธีที่คุณจะจัดการกับความต้องการทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว

นี่คือจุดที่โมเดล PERMA ของความเป็นอยู่ที่ดีเข้ามามีบทบาท เนื่องจากมันจะช่วยให้แต่ละคนได้มาซึ่งความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวโดยส่งเสริมมุมมองแบบองค์รวมของความเป็นอยู่ที่ดี แทนที่จะมุ่งเน้นเฉพาะประสิทธิภาพหรือความสำเร็จภายนอก โมเดล PERMA ของ Seligman ชวนให้เราให้ความสำคัญกับสุขภาพทางอารมณ์ จิตใจ และความสัมพันธ์ การนำโมเดล PERMA มาใช้ในที่ทำงานจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่การเติมเต็มส่วนบุคคลนั้นมีความสำคัญพอ ๆ กับความสำเร็จในอาชีพการงาน ความสมดุลนี้ช่วยลดความเครียด ป้องกันภาวะหมดไฟ และทำให้มั่นใจได้ว่าทั้งการงานและชีวิตต่างมีส่วนช่วยให้รู้สึกถึงความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมของเรา

มาสำรวจว่าแต่ละส่วนของโมเดล PERMA สามารถช่วยให้คุณได้มาซึ่งความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างไร

 

เราจะได้มาซึ่งความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวด้วยโมเดล PERMA อย่างไร?

อารมณ์เชิงบวก

ส่วนแรกของโมเดล PERMA คืออารมณ์เชิงบวก ซึ่งเป็นเรื่องของการค้นหาความสุข ความพึงพอใจ และความรู้สึกดีอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันของคุณ เมื่อคุณโฟกัสกับสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข คุณจะสามารถจัดการกับความเครียดได้ดีขึ้นและรักษามุมมองด้านบวกไว้ได้

เพื่อนำความเป็นบวกมาสู่ชีวิตประจำวันของคุณ ลอง:

  • ที่ทำงาน: พยายามหาสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น การทำงานเสร็จ การหัวเราะกับเพื่อนร่วมงาน หรือการเพลิดเพลินกับกาแฟยามเช้า
  • ที่บ้าน: ใช้เวลาทำสิ่งที่นำความสุขมาให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรก การออกกำลังกาย หรือเพียงแค่ผ่อนคลายกับคนที่คุณรัก

เคล็ดลับ: เริ่มต้นวันด้วยการนึกถึงสามสิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณ คุณอาจเริ่มเขียนบันทึกความขอบคุณด้วย มันสามารถสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับวันของคุณ ทำให้ง่ายต่อการรับมือกับปัญหาและการรักษาจังหวะที่มั่นคงระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวมากขึ้น

 

ความจดจ่อ (Engagement)

ความจดจ่อในบริบทนี้หมายถึงการให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับสิ่งที่คุณกำลังทำ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือกิจกรรมที่บ้าน เมื่อคุณจดจ่ออย่างลึกซึ้งกับสิ่งที่ทำ คุณจะเข้าสู่สภาวะ "flow" ซึ่งเวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว และคุณจะรู้สึกมีพลังจากงานของคุณ

เพื่อให้เกิดความจดจ่อ::

  • ที่ทำงาน: โฟกัสที่โครงการที่เหมาะกับจุดแข็งและความสนใจของคุณ เมื่อคุณจดจ่ออย่างลึกซึ้งกับงานของคุณ คุณไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังรู้สึกพอใจมากขึ้นด้วย
  • ที่บ้าน: ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ ทำงานฝีมือ หรือการเล่นกีฬา สละเวลาให้กับกิจกรรมที่คุณชื่นชอบซึ่งคุณสามารถให้ความสนใจได้อย่างเต็มที่

เคล็ดลับ: หากิจกรรมที่ดึงดูดความสนใจของคุณได้มากที่สุดและทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้จะทำให้คุณสร้างจังหวะชีวิตที่มีช่วงที่มีสมาธิและความสนุกสนานอย่างลึกซึ้ง

 

ความสัมพันธ์ (Relationships)

บางครั้งการให้กำลังใจเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ เพื่อน หรือสมาชิกในครอบครัว การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีช่วยสร้างสมดุล เตือนว่าคุณไม่ได้เผชิญกับปัญหาเพียงลำพัง และช่วยให้คุณจัดการกับความต้องการของชีวิตได้อย่างลงตัวมากขึ้น

เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ของคุณ:

  • ที่ทำงาน: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานของคุณโดยการทำงานร่วมกัน เสนอความช่วยเหลือ และแชร์ความสำเร็จและปัญหา
  • ที่บ้าน: ใช้เวลาดีๆ กับครอบครัวและเพื่อน และพยายามรักษาการติดต่อไว้ แม้จะเป็นเพียงการพูดคุยสั้น ๆ

เคล็ดลับ: ใครจะสามารถสนับสนุนคุณในเส้นทางสู่ความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่ดีขึ้นได้ และพวกเขาสามารถช่วยได้อย่างไร? กำหนดเวลาในแต่ละสัปดาห์เพื่อติดต่อกับคนสำคัญในชีวิตของคุณ โดยไม่ว่าจะที่ทำงานหรือที่บ้าน ใช้เวลาในการพูดคุยกับผู้คน รับฟังอย่างตั้งใจ และแสดงความเห็นอกเห็นใจ การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงจะช่วยให้เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ทำให้คุณรู้สึกได้รับการสนับสนุนมากขึ้น

 

ความหมาย (Meaning)

ความหมายเกี่ยวข้องกับการทำสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณ ไม่ว่าจะเป็นในอาชีพการงานหรือชีวิตส่วนตัว เมื่อคุณพบกับความหมาย คุณจะรู้สึกมีแรงจูงใจและได้รับการเติมเต็มมากขึ้น 

เพื่อสร้างความหมาย:

  • ที่ทำงาน: มองหาวิธีที่งานของคุณนั้นสอดคล้องกับค่านิยมของคุณ หรือส่งเสริมเป้าหมายที่ใหญ่กว่า การรู้ว่างานของคุณมีความสำคัญนั้นทำให้มันมีความหมายมากขึ้น
  • ที่บ้าน: ทำกิจกรรมที่ให้ความรู้สึกมีจุดมุ่งหมาย เช่น การเป็นอาสาสมัคร การเป็นพี่เลี้ยง หรือการทำโครงการที่คุณมีแพสชั่น

เคล็ดลับ: คำนึงถึงคุณค่าหลักที่สำคัญของคุณอย่างสม่ำเสมอ อะไรคือแรงขับเคลื่อนของคุณ? ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น การสร้างสิ่งใหม่ๆ หรือการมีส่วนร่วมในเป้าหมายที่ใหญ่กว่า คุณต้องแน่ใจว่าทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวของคุณสะท้อนถึงสิ่งที่คุณให้คุณค่า

 

ความสำเร็จ (Accomplishment)

ความสำเร็จเกี่ยวข้องกับการตั้งและบรรลุเป้าหมายที่สำคัญสำหรับคุณ การรู้สึกถึงประสบสำเร็จช่วยเพิ่มความมั่นใจและความพึงพอใจ ทำให้ง่ายขึ้นในการจัดการกับความต้องการของการงานและชีวิต

เพื่อสร้างความสำเร็จ:

  • ที่ทำงาน: ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและยินดีกับความก้าวหน้าของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการทำโครงการเสร็จหรือการเรียนรู้ทักษะใหม่
  • ที่บ้าน: ตั้งเป้าหมายส่วนตัว เช่น การเริ่มงานอดิเรกใหม่หรือการพัฒนาสุขภาพของคุณ และแบ่งเวลาชื่นชมความสำเร็จของตัวคุณเอง

เคล็ดลับ: แบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นขั้นตอนย่อย ๆ และยินดีกับทุกความสำเร็จ มันจะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจและรักษาความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวของคุณไว้ได้

 

 

บทสรุป

การตามหาชีวิตที่เติมเต็มไม่ใช่การแบ่งเวลาระหว่างงานและภาระส่วนตัวอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เป็นการสร้างความรู้สึกลงตัวที่ทั้งสองด้านของชีวิตคุณทำงานร่วมกันและสนับสนุนซึ่งกันและกัน การนำโมเดล PERMA มาใช้ในที่ทำงานช่วยให้คุณสร้างชีวิตที่ไม่เพียงแค่สมดุล แต่ยังรู้สึกเติมเต็มอย่างแท้จริง จำไว้ว่าไม่ใช่เรื่องของความสมบูรณ์แบบ แต่เป็นเรื่องของการค้นหาความลงตัวที่ช่วยให้คุณเติบโตทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว!

ขณะที่คุณพิจารณาถึงวิธีการนำความสมดุลและความเติมเต็มมาสู่ชีวิตของคุณมากขึ้น ลองพิจารณาการทำแบบประเมินสุขภาวะทางอารมณ์ Naluri โดยการประเมินที่รวดเร็วและมีข้อมูลเชิงลึกนี้สามารถช่วยให้คุณเข้าใจสภาพจิตใจปัจจุบันของคุณได้ดีขึ้นและระบุด้านที่คุณอาจต้องการการสนับสนุน มันเป็นก้าวเล็ก ๆ ที่อาจสร้างความแตกต่างอย่างมากในการได้มาซึ่งความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่คุณกำลังมองหา

You may also like