เป็นช่วงท้ายของวันทำงานอันยาวนาน แทนที่คุณจะรู้สึกประสบความสำเร็จ คุณกลับรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก คุณพยายามผ่อนคลาย แต่จิตใจยังคงวุ่นวายกับความคิดเกี่ยวกับงานที่ยังไม่เสร็จ กำหนดส่งงานที่ใกล้เข้ามา และรายการสิ่งที่ต้องทำที่ไม่มีวันจบสิ้นที่รอคุณอยู่ในวันพรุ่งนี้ ฟังดูคุ้นๆไหม?
ในโลกที่แสนเร่งรีบในปัจจุบัน พวกเราหลายคนต้องพยายามจัดการระหว่างงาน ครอบครัว สุขภาพ และชีวิตทางสังคมอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเราจะพยายามที่สุดเพื่อสร้างความสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว แต่เรามักรู้สึกว่ามีสิ่งที่ต้องทำมากมายจนทำอะไรไม่ถูกและเหนื่อยล้า
แต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ? แทนที่จะตั้งเป้าไปที่อุดมคติที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ลองจินตนาการถึงการสร้างชีวิตที่รู้สึกสมบูรณ์ มีความสุข และเติมเต็ม นี่คือจุดที่โมเดล PERMA ซึ่งพัฒนาโดยนักจิตวิทยาชื่อดัง Martin Seligman ได้เสนอมุมมองใหม่ให้กับเรา แทนที่จะไล่ตามความฝันที่เป็นไปไม่ได้ในการแบ่งเวลาระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวแบบ 50-50 โมเดล PERMA ชวนให้เรามองชีวิตผ่านเลนส์ที่แตกต่างออกไป โดยมุ่งเน้นไปที่ความเป็นอยู่ที่ดี ความสมบูรณ์ และความลงตัว
แล้วโมเดล PERMA แห่งความเป็นอยู่ที่ดี คืออะไรกันแน่ และมันจะช่วยให้คุณไปถึงความลงตัวที่คุณกำลังมองหาได้อย่างไร? อ่านต่อไปเพื่อเรียนรู้เลย!
ก่อนที่เราจะเจาะลึกถึงวิธีการนำโมเดล PERMA ไปใช้ในที่ทำงาน มาเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างความสมดุลของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว กับความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวกันก่อน แม้ว่าแนวคิดจะค่อนข้างคล้ายกัน แต่มีองค์ประกอบสำคัญที่แตกต่างกัน:
สำหรับหลายคน ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวเป็นความฝันที่เราต้องการมานาน เป็นวิธีแบ่งเวลาและพลังงานระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวเพื่อให้รู้สึกมีจุดศูนย์กลางและมีประสิทธิภาพ แนวคิดนี้เสนอว่าการจัดการทั้งสองด้านของชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน เราสามารถป้องกันอาการหมดไฟและรักษาความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมได้ ลักษณะทั่วไปของความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ได้แก่
อย่างไรก็ตาม การมีความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่สมบูรณ์แบบบางครั้งอาจดูเคร่งครัดหรือไม่เป็นจริง เนื่องจาก
นี่คือจุดที่ความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวเข้ามามีบทบาท โดยเป็นวิธีการที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนมากขึ้น แทนที่จะโฟกัสที่การแบ่งระหว่างงานและชีวิตให้เท่ากัน ความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวเป็นการทำให้แน่ใจว่าส่วนต่าง ๆ ของชีวิตคุณส่งเสริมซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องของการสร้างความรู้สึกต่อเนื่องที่งานและชีวิตส่วนตัวไม่ได้ต่อต้านกันตลอดเวลา แต่ทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมของคุณ ตัวอย่างของลักษณะของความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ได้แก่:
แม้ว่าความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวนั้นจะยังคงมีความสำคัญ แต่ความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวนั้นให้ตัวเลือกที่สามารถปรับเปลี่ยนได้มากกว่าในการจัดการกับความต้องการของชีวิตสมัยใหม่ ความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวมองเห็นว่าชีวิตของคุณไม่ได้ถูกแบ่งออกเป็นกล่องแข็งๆ ของ "งาน" และ "ชีวิต" แต่ส่งเสริมให้คุณหาวิธีผสมผสานทั้งสองด้าน ทำให้มีพื้นที่สำหรับทั้งสองด้านโดยไม่รู้สึกว่าด้านหนึ่งต้องลำบากเพื่อแลกกับอีกด้านหนึ่ง หมายความว่าคุณจะรู้สึกสมดุลมากขึ้นโดยรวม แม้ว่าแต่ละวันอาจแตกต่างกันเล็กน้อย!
เมื่อคุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างความสมดุลของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว กับความลงตัวของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวแล้ว มาเจาะลึกเรื่องโมเดล PERMA กันเถอะ
โมเดล PERMA ที่พัฒนาโดย Martin Seligman เป็นกรอบแนวคิดที่ครอบคลุมสำหรับการได้มาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีและความรุ่งเรือง PERMA ย่อมาจาก Positive emotion (อารมณ์เชิงบวก), Engagement (ความผูกพัน), Relationships (ความสัมพันธ์), Meaning (ความหมาย), และ Accomplishment (ความสำเร็จ) - ห้าเสาหลักที่เมื่อได้รับการพัฒนาแล้วจะมีส่วนช่วยให้ชีวิตรู้สึกเติมเต็มและมีความหมาย โมเดล PERMA เน้นถึงความสำคัญของการรู้สึกถึงความสุข การมีทุ่มเทเต็มที่ในการทำงาน การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรง การค้นหาจุดมุ่งหมาย และการบรรลุเป้าหมาย แม้มันว่าจะถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจในตอนแรก แต่โมเดล PERMA ของ Seligman ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อส่งเสริมความพึงพอใจและประสิทธิภาพที่มากขึ้น
เมื่อเราคิดถึงความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว เรามักจะสนใจที่ปัจจัยภายนอกเท่านั้น คือ การจัดการตารางเวลา การทำงานให้ทันกำหนดส่ง และการจัดสรรเวลาสำหรับภาระส่วนตัว อย่างไรก็ตาม รากฐานที่แท้จริงของความลงตัวไม่ได้มาจากการจัดการงานต่าง ๆ แต่มาจากภายใน ความรู้สึกต่อความเป็นอยู่ที่ดีและความสุขของคุณมีบทบาทสำคัญในการกำหนดวิธีที่คุณจะจัดการกับความต้องการทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว
นี่คือจุดที่โมเดล PERMA ของความเป็นอยู่ที่ดีเข้ามามีบทบาท เนื่องจากมันจะช่วยให้แต่ละคนได้มาซึ่งความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวโดยส่งเสริมมุมมองแบบองค์รวมของความเป็นอยู่ที่ดี แทนที่จะมุ่งเน้นเฉพาะประสิทธิภาพหรือความสำเร็จภายนอก โมเดล PERMA ของ Seligman ชวนให้เราให้ความสำคัญกับสุขภาพทางอารมณ์ จิตใจ และความสัมพันธ์ การนำโมเดล PERMA มาใช้ในที่ทำงานจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่การเติมเต็มส่วนบุคคลนั้นมีความสำคัญพอ ๆ กับความสำเร็จในอาชีพการงาน ความสมดุลนี้ช่วยลดความเครียด ป้องกันภาวะหมดไฟ และทำให้มั่นใจได้ว่าทั้งการงานและชีวิตต่างมีส่วนช่วยให้รู้สึกถึงความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมของเรา
มาสำรวจว่าแต่ละส่วนของโมเดล PERMA สามารถช่วยให้คุณได้มาซึ่งความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างไร
ส่วนแรกของโมเดล PERMA คืออารมณ์เชิงบวก ซึ่งเป็นเรื่องของการค้นหาความสุข ความพึงพอใจ และความรู้สึกดีอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันของคุณ เมื่อคุณโฟกัสกับสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข คุณจะสามารถจัดการกับความเครียดได้ดีขึ้นและรักษามุมมองด้านบวกไว้ได้
เพื่อนำความเป็นบวกมาสู่ชีวิตประจำวันของคุณ ลอง:
เคล็ดลับ: เริ่มต้นวันด้วยการนึกถึงสามสิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณ คุณอาจเริ่มเขียนบันทึกความขอบคุณด้วย มันสามารถสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับวันของคุณ ทำให้ง่ายต่อการรับมือกับปัญหาและการรักษาจังหวะที่มั่นคงระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวมากขึ้น
ความจดจ่อในบริบทนี้หมายถึงการให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับสิ่งที่คุณกำลังทำ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือกิจกรรมที่บ้าน เมื่อคุณจดจ่ออย่างลึกซึ้งกับสิ่งที่ทำ คุณจะเข้าสู่สภาวะ "flow" ซึ่งเวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว และคุณจะรู้สึกมีพลังจากงานของคุณ
เพื่อให้เกิดความจดจ่อ::
เคล็ดลับ: หากิจกรรมที่ดึงดูดความสนใจของคุณได้มากที่สุดและทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้จะทำให้คุณสร้างจังหวะชีวิตที่มีช่วงที่มีสมาธิและความสนุกสนานอย่างลึกซึ้ง
บางครั้งการให้กำลังใจเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ เพื่อน หรือสมาชิกในครอบครัว การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีช่วยสร้างสมดุล เตือนว่าคุณไม่ได้เผชิญกับปัญหาเพียงลำพัง และช่วยให้คุณจัดการกับความต้องการของชีวิตได้อย่างลงตัวมากขึ้น
เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ของคุณ:
เคล็ดลับ: ใครจะสามารถสนับสนุนคุณในเส้นทางสู่ความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่ดีขึ้นได้ และพวกเขาสามารถช่วยได้อย่างไร? กำหนดเวลาในแต่ละสัปดาห์เพื่อติดต่อกับคนสำคัญในชีวิตของคุณ โดยไม่ว่าจะที่ทำงานหรือที่บ้าน ใช้เวลาในการพูดคุยกับผู้คน รับฟังอย่างตั้งใจ และแสดงความเห็นอกเห็นใจ การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงจะช่วยให้เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ทำให้คุณรู้สึกได้รับการสนับสนุนมากขึ้น
ความหมายเกี่ยวข้องกับการทำสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณ ไม่ว่าจะเป็นในอาชีพการงานหรือชีวิตส่วนตัว เมื่อคุณพบกับความหมาย คุณจะรู้สึกมีแรงจูงใจและได้รับการเติมเต็มมากขึ้น
เพื่อสร้างความหมาย:
เคล็ดลับ: คำนึงถึงคุณค่าหลักที่สำคัญของคุณอย่างสม่ำเสมอ อะไรคือแรงขับเคลื่อนของคุณ? ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น การสร้างสิ่งใหม่ๆ หรือการมีส่วนร่วมในเป้าหมายที่ใหญ่กว่า คุณต้องแน่ใจว่าทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวของคุณสะท้อนถึงสิ่งที่คุณให้คุณค่า
ความสำเร็จเกี่ยวข้องกับการตั้งและบรรลุเป้าหมายที่สำคัญสำหรับคุณ การรู้สึกถึงประสบสำเร็จช่วยเพิ่มความมั่นใจและความพึงพอใจ ทำให้ง่ายขึ้นในการจัดการกับความต้องการของการงานและชีวิต
เพื่อสร้างความสำเร็จ:
เคล็ดลับ: แบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นขั้นตอนย่อย ๆ และยินดีกับทุกความสำเร็จ มันจะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจและรักษาความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวของคุณไว้ได้
การตามหาชีวิตที่เติมเต็มไม่ใช่การแบ่งเวลาระหว่างงานและภาระส่วนตัวอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เป็นการสร้างความรู้สึกลงตัวที่ทั้งสองด้านของชีวิตคุณทำงานร่วมกันและสนับสนุนซึ่งกันและกัน การนำโมเดล PERMA มาใช้ในที่ทำงานช่วยให้คุณสร้างชีวิตที่ไม่เพียงแค่สมดุล แต่ยังรู้สึกเติมเต็มอย่างแท้จริง จำไว้ว่าไม่ใช่เรื่องของความสมบูรณ์แบบ แต่เป็นเรื่องของการค้นหาความลงตัวที่ช่วยให้คุณเติบโตทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว!
ขณะที่คุณพิจารณาถึงวิธีการนำความสมดุลและความเติมเต็มมาสู่ชีวิตของคุณมากขึ้น ลองพิจารณาการทำแบบประเมินสุขภาวะทางอารมณ์ Naluri โดยการประเมินที่รวดเร็วและมีข้อมูลเชิงลึกนี้สามารถช่วยให้คุณเข้าใจสภาพจิตใจปัจจุบันของคุณได้ดีขึ้นและระบุด้านที่คุณอาจต้องการการสนับสนุน มันเป็นก้าวเล็ก ๆ ที่อาจสร้างความแตกต่างอย่างมากในการได้มาซึ่งความลงตัวระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่คุณกำลังมองหา